The Man and the Garden – Fictional Story Illustration

เรื่องสั้นโดย เดฟ ฮิบบินส์

ในเมืองเงียบสงบชื่อสระแก้ว ไม่ไกลจากชายแดนกัมพูชา มีชายคนหนึ่งชื่ออรุณที่เลิกยิ้มไปนานแล้ว

เขาเคยเป็นที่รู้จักทั่วทั้งหมู่บ้านในเรื่องความใจดี เด็ก ๆ มักจะวิ่งผ่านประตูรั้วของเขาทุกบ่าย ทิ้งรองเท้าแตะไว้ระหว่างทาง ขณะวิ่งเข้าสวนของเขา—สวนมะม่วงกว้างสามไร่ ทางเดินดินนุ่ม บ่อปลาคาร์ปเล็ก ๆ ที่น้ำใสจนมองเห็นเงาของเมฆ ผู้เฒ่าทั้งหลายเรียกที่ดินผืนนี้ว่า “แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์” เด็ก ๆ เรียกมันว่า “สถานที่วิเศษ”

อรุณจะนั่งบนม้านั่งไม้พร้อมชาขวดเขียวเย็น ๆ แล้วหัวเราะเมื่อพวกเด็ก ๆ เด็ดมะขามอ่อนจากต้นเร็วเกินไป
“เปรี้ยวแล้วแข็งแรงดี” เขาจะพูดพลางโบกมือให้พวกเขา

แต่นั่นคือก่อน… ก่อนการสูญเสีย ก่อนความเงียบ ก่อนที่ประตูจะถูกปิด

ไม่มีใครในหมู่บ้านถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่โดยตรง แต่ทุกคนรู้กันดี ภรรยาของอรุณเสียชีวิตจากโรคร้าย และลูกชายเพียงคนเดียวก็ย้ายไปกรุงเทพฯ โดยไม่เคยส่งข่าวกลับมา สิ่งบางอย่างในตัวเขาพังลง—เงียบ ๆ เหมือนคานไม้ที่หักกลางดึก

วันหนึ่ง โดยไม่พูดอะไร อรุณแขวนป้ายหน้าสวน
ห้ามเข้า – ส่วนบุคคล

เขาล็อคประตู ขายปลาคาร์ป และปล่อยให้วัชพืชปกคลุมไปทั่ว
เสียงหัวเราะหายไปเหมือนหมอกยามเช้า

เด็ก ๆ ยังเดินผ่านซอยอยู่ แต่หลีกเลี่ยงการมองไปยังสวน พวกเขากระซิบกระซาบกันเมื่อต้องพูดถึงสวนท้ายซอย
“ฉันได้ยินว่าที่นั่นมีผีอยู่แล้ว” เด็กหญิงคนหนึ่งพูด
“เขาเคยให้ไอติมพวกเรานะ” เด็กชายอีกคนพึมพำ “ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผี”

อรุณอยู่แต่ในบ้าน
นกไม่มาบิน
ต้นมะม่วงเลิกออกดอก
แม้แต่สายลมที่เคยพัดเสียงดนตรีจากวัดในหมู่บ้านถัดไป ก็หลีกเลี่ยงผืนดินของเขา
อากาศเงียบ ไม่ใช่ความสงบ—แต่เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง

การกลับมาเป็นครั้งแรก

ในวันที่ร้อนที่สุดของปี ก่อนถึงเทศกาลดำนา อรุณตื่นขึ้นมาเพราะเสียงบางอย่างที่เขาไม่ได้ยินมาหลายปี:
เสียงหัวเราะ
เบา ๆ กระจายไปทั่ว เหมือนลูกแก้วที่กลิ้งบนพื้นกระเบื้อง

เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยข้อต่อที่เจ็บปวด แล้วเดินไปที่หน้าต่างอย่างระมัดระวัง
ที่ริมสวนของเขา—เลยพงหญ้าและบ่อปลาที่แตกร้าว—มีเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่

เด็กหญิงผมยุ่ง ไม่ใส่รองเท้า กำลังหมุนตัวช้า ๆ ใต้ร่มเงาของต้นมะม่วง บริเวณที่เธอยืนอยู่ พื้นดินกลับเขียวชอุ่มแปลกตา—มีหญ้าอ่อนขึ้นปกคลุม แม้จะไม่ได้ฝนมาหลายสัปดาห์

อรุณกระพริบตา นี่คือความฝัน? หรือเพียงภาพลวงจากไอร้อน?
แล้วเด็กหญิงก็หยุด และมองตรงมาที่เขา ราวกับรู้มาโดยตลอดว่าเขากำลังเฝ้าดูอยู่
เธอยิ้มให้

อรุณไม่ได้เปิดหน้าต่าง เขายืนอยู่หลังผ้าม่านเงียบ ๆ

เด็กหญิงน่าจะอายุไม่เกินเจ็ดหรือแปดขวบ เสื้อของเธอหลวมโคร่ง มีภาพปลาโลมาคาร์ตูนยิ้มอยู่ตรงกลาง ขาเปื้อนฝุ่นดินแดง มือหนึ่งถือถังพลาสติกสีเหลือง อีกมือปาดหญ้าสูงข้างทางเล่นไปเรื่อย

เขาไม่ได้เปิดประตูสวนมาหลายปี ไม่เคยเลย แล้วเธอเข้ามาได้อย่างไร?

หัวใจของอรุณเต้นแรง ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่อย่างหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก ความประหม่าแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมานาน เขาไม่เคยอยากพูดกับเด็กอีกเลย

เขาใส่รองเท้าแตะเก่าคู่เดิม แล้วเดินออกไป

เด็กหญิงไม่วิ่งหนี
นั่นแหละที่ทำให้เขาตกใจที่สุด

เธอมองขึ้นมาจากใต้ต้นไม้ เพ่งแสงแดด แล้วยกถังขึ้นโชว์เขา ด้านในมีน้ำกับกลีบดอกลีลาวดีสีเหลืองอ่อน
“หนูทำแป้งหอมค่ะ” เธอพูด ราวกับพวกเขาคุยกันมาก่อนแล้ว

อรุณยืนนิ่ง ขมวดคิ้ว
“หนูไม่ควรอยู่ที่นี่” เขาพูดในที่สุด เสียงแหบจากการไม่ได้ใช้มานาน
“ทำไมล่ะคะ? ที่นี่สวยดีนี่”
“มันไม่ใช่ที่เล่น นี่คือที่ของลุง”

เธอพยักหน้าเบา ๆ เหมือนกำลังคิดตาม
“แต่ลุงก็ไม่ได้ใช้งานมันนี่คะ”

คำพูดของเธอเหมือนก้อนกรวดเล็ก ๆ
ไม่ได้โยนมาให้เจ็บ แต่เป็นความจริงที่ไม่อาจมองข้าม

เขามองไปรอบ ๆ
ต้นมะม่วงต้นที่เธอเต้นรำใต้ร่มเงา มีดอกตูมสีเขียวอ่อนผุดขึ้นเต็มกิ่ง เขาไม่เห็นดอกตูมบนต้นนั้นมาสี่ปีแล้ว
หญ้ารกแถวบ่อปลาถูกเปิดออก เหมือนมีใครมาตัดอย่างเบามือ
ชิงช้าที่เคยห้อยจากต้นไม้ใหญ่ยังอยู่ แม้จะเหลือเชือกเพียงเส้นเดียว—แต่ดูไม่พังแล้ว แค่รอคอย

“ชื่อหนูอะไร?” เขาถาม น้ำเสียงอ่อนลง
“ดาวค่ะ เหมือนดวงดาว”
“แล้วครอบครัวหนูล่ะ?”
“แม่ทำความสะอาดโรงเรียน เราเพิ่งย้ายมา”

เขาพยักหน้า สูดหายใจ
“ถ้าอย่างนั้น…ดาว ที่นี่ลุงปิดแล้ว หนูต้องกลับไปนะ”

เธอเงยหน้ามองเขา ไม่โกรธ ไม่เศร้า แค่สงสัย
“แต่ถ้ามันอยากเปิดอีกล่ะคะ?”

คืนนั้น อรุณไม่หลับ
เขานั่งอยู่บนชานบ้าน มองต้นไม้ที่เธอเคยนั่งใต้ร่มเงา
เขารู้สึกว่ามันดูสูงขึ้น แข็งแรงขึ้น หญ้ารอบ ๆ ก็นุ่มนวลขึ้น
ที่ไหนสักแห่งในความมืด มีเสียงนกกลางคืนร้องขึ้นหนึ่งครั้ง—แล้วอีกครั้ง
เขาไม่ได้ยินเสียงนกในสวนนี้มานานมากแล้ว

ประตูที่เปิดอยู่เสมอ

วันถัดมา เธอก็มาที่สวนอีก
เขาไม่ห้ามเธอ

คราวนี้เธอพาเด็กชายคนหนึ่งมาด้วย อาจเป็นพี่ชาย พวกเขาเล่นกันเงียบ ๆ เก็บใบไม้แห้งแล้วลอยบนถังน้ำเก่า ๆ ที่มีน้ำอยู่ครึ่งถัง

อรุณมองจากในบ้าน เขาชงชาดื่มช้า ๆ จากนั้นก็เติมน้ำในกาน้ำอีกครั้ง เทใส่ถ้วยอีกใบ
และวางไว้ที่ขั้นบันได

วันที่สาม เด็ก ๆ มาห้าคน
วันที่สี่ แปดคน

บางคนปีนข้ามรั้ว บางคนมุดผ่านพุ่มไม้
ดาวยังคงเดินเข้ามาเหมือนเป็นเจ้าของที่นี่ ซึ่งในทางหนึ่ง ก็ใช่

ปลายสัปดาห์นั้น เสียงหัวเราะกลับมา ผีเสื้อก็กลับมา สายลมก็กลับมา
และอรุณ… ก็กลับมาด้วยอย่างเงียบ ๆ

เขาไม่ได้ประกาศอะไร ไม่ได้ปลดป้ายลง
แต่เขาเปิดประตู
และปล่อยให้มันเปิดอยู่

เด็กชายใต้ต้นไม้

หลายปีผ่านไป เหมือนแสงแดดที่เลื่อนผ่านพื้นไม้—ช้า ๆ อ่อนโยน และมั่นคง

ผมของอรุณกลายเป็นสีเทา มือของเขางอจากข้อต่อที่แข็ง ไม่แข็งแรงพอจะถือเครื่องมือได้อีกต่อไป
แต่ยังอ่อนโยนพอจะปอกมะม่วงให้เด็ก ๆ หรือแกะเมล็ดมะขามได้

เขาไม่กวาดใบไม้อีกแล้ว ไม่ซ่อมรั้วหรือปีนบันได
แต่ทุกเช้า เขานั่งบนม้านั่งไม้เดิมใต้ต้นลีลาวดี พร้อมกระติกชาในมือ
มองดูสวนที่เคยถูกปิดตายกลับมามีชีวิต—เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ กลีบดอกไม้ และคำสัญญาเงียบ ๆ

เช้าวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ขณะที่ลมเริ่มแห้งและใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง อรุณตื่นเร็วกว่าปกติ

เขารู้สึกถึงบางสิ่งในอากาศ ความนิ่ง—แต่ไม่ใช่แบบเก่า ไม่ใช่ความโดดเดี่ยว แต่เป็นการรอคอยบางอย่าง

เขาแต่งตัวช้า ๆ พาดผ้าพันคอบนบ่า เดินเท้าเปล่าออกมาที่ชานบ้าน
สวนเงียบ
ยังไม่มีเด็ก ยังไม่มีเสียงนก

แต่ที่มุมไกลสุดของสวน—ใต้ต้นไม้ต้นเล็กที่สุด—มีใครบางคนยืนอยู่
เป็นเด็กชายคนนั้น
คนที่มาหลายปีก่อน คนที่ไม่มีชื่อ

เขายืนเท้าเปล่าในจุดเดิม แขนแนบข้างลำตัว หน้าเงยขึ้นมองต้นไม้
แสงเช้าแตะเสื้อของเขาจนดูเป็นสีทอง มือและเท้าของเขายังเปื้อนสีแดง เหมือนเดิม

ลมหายใจของอรุณสะดุด
เขาเดินเข้าไปช้า ๆ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเคารพ
เข่าของเขาเจ็บทุกย่างก้าว แต่หัวใจกลับสงบ

เมื่อเขาเข้าใกล้ เด็กชายหันมาหาเขา
ใกล้ ๆ เขาดูเหมือนเดิมทุกอย่าง—เงียบ สงบ ตาโตลึก เหมือนเงาในวัดยามรุ่งสาง

อรุณหยุด เสียงเบา
“หนูหายไปไหนมา?”

เด็กชายเอียงคอ ยิ้ม
“ลุงเคยให้ผมเล่นในสวนนี่ครั้งหนึ่ง”

อรุณพยักหน้า กลืนน้ำลายแน่นคอ
“ลุงจำได้”

เด็กชายเดินเข้ามาแตะมือเขา
มืออบอุ่น มั่นคง เหมือนสัมผัสแสงแดด

“วันนี้” เด็กชายพูด “ลุงจะไปเล่นที่สวนของผมบ้าง”

แล้วอรุณก็เห็นต้นไม้ต้นนั้น
ต้นที่อยู่มุมไกลสุด ต้นที่เคยเล็กที่สุด อ่อนแอที่สุด

ตอนนี้เต็มไปด้วยดอกสีขาว—มากจนกิ่งโน้มลงเหมือนหิมะ
ผลไม้สีทองแขวนอยู่เต็มต้น
หญ้าด้านล่างเปล่งประกาย แม้จะไม่มีฝนมาหลายวัน

นกมารวมตัวอยู่บนกิ่งไม้ เงียบแต่เฝ้าดูอยู่
ภาพวาดของดาวแวบเข้ามาในใจ
ดวงดาวแทนต้นไม้

เขามองกลับไปที่เด็กชาย
และในขณะนั้น อรุณก็เข้าใจ

ไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ก็พอ
เขายิ้ม
น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่ใช่เพราะเศร้า แต่เพราะบางอย่างที่ลึกกว่านั้น
ความขอบคุณ การปล่อยวาง

ตอนจบ

เมื่อเด็ก ๆ มาถึงในบ่ายวันนั้น พวกเขาพบว่าสวนยังคงเหมือนเดิม
สดใส ลมพัดเบา มีชีวิตชีวา

พวกเขาวิ่งไปยังที่ประจำของตน—บางคนไปที่ชิงช้า บางคนไปที่บ่อปลา บางคนไปนั่งใต้ร่มไม้ใกล้รั้ว

ดาว เดินช้า ๆ ไปที่ม้านั่งไม้เก่าใต้ต้นลีลาวดี
ตรงนั้น มีชายชรานั่งอยู่เหมือนทุกวัน

ดวงตาของเขาปิดสนิท
ใบหน้าของเขาสงบสุข
บนตักของเขามีถังเล็กสีเหลือง ใส่กลีบดอกลีลาวดีไว้เต็ม

และเหนือหัวเขา ที่มุมไกลสุดของสวน
ต้นไม้ที่เคยเล็กที่สุด กำลังเบ่งบานด้วยดอกสีขาวเหมือนชุดเจ้าสาว
ส่องแสงใต้แดดยามบ่าย

และไม่มีใครสร้างกำแพงกั้นตรงนั้นอีกเลย


เรื่องสั้นโดย Dave Hibbins
Short story by Dave Hibbins

📖 อ่านเรื่องอื่น ๆ หรือดูผลงานของผู้เขียนได้ที่:
www.davehibbins.com

🌿 ติดตามเรื่องราวการเดินทางของ Dave และภาพถ่ายที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่:
Go Find Asia

🌏 สำรวจทริปในไทยและเนปาลผ่านธุรกิจท่องเที่ยวของผู้เขียน:
Resurgence Travel

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *